ยูเครนขยายเวลาประกาศใช้กฎอัยการศึก หลังรัสเซียโจมตีหนักหลายเมือง
เปิดใจเอกอัครราชทูตรัสเซีย ย้ำ “เราไม่ใช่คนเริ่ม เราพยายามจะจบมัน”
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ ตอนนี้กรุงเคียฟถูกรัสเซียล้อมไว้หลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีการเคลื่อนพลเข้าสู่กลางเมือง มีแต่การโจมตีทางอากาศหรือการโจมตีจากระยะไกล ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ทหารรัสเซียระดมยิงขีปนาวุธเข้าใจกลางกรุงเคียฟ โดยหนึ่งในจุดที่ได้รับความเสียหายหนักคือเขตโพดิลสกี (Podilskiy) อาคารสูงซึ่งเป็นที่พักแห่งนี้ถูกขีปนาวุธของรัสเซียถล่มและเกิดเพลิงลุกไหม้ เพลิงที่โหมกระหน่ำอย่างรวดเร็วทำให้เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันเร่งดับเพลิงและอพยพคนออกจากที่นั่น จำนวนมากเป็นผู้สูงอายุ
เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย บาดเจ็บกว่า 10 คน
วิตาลี คลิตช์โก นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ เดินทางไปดูความเสียหายเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ระบุว่า นี่คือลักษณะของการโจมตีในแบบเดียวกับที่รัสเซียใช้ในการถล่มคาร์คีฟ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนที่ตอนนี้เหลือแต่ซากปรักหักพัง
โดยกองทัพรัสเซียปิดล้อมกรุงเคียฟโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมีทั้งทหารราบ หน่วยรถถังและหน่วยโจมตีทางอากาศ แต่ยังไม่สามารถที่จะเจาะแนวป้องกันของกองกำลังยูเครนเข้ามาในตัวเมืองได้ จึงใช้วิธีโจมตีจากระยะไกลแบบนี้ การสู้รบบนภาคพื้นดินยังกระจุกตัวอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟซึ่งเป็นชานเมือง บริเวณดังกล่าวไม่ไกลเมืองเออร์พิน ที่ทหารรัสเซียโจมตีอย่างหนัก
ด้านกลาโหมรัสเซีย ปล่อยภาพกองกำลังพลร่ม เข้ามาในพื้นที่สนามบินฮอสโตเมล และมีรายงานว่ารัสเซียยึดสนามบินไว้ได้ จากจุดนั้น เป็นเวลาหลายวันแล้วที่กองทัพรัสเซียพยายามเข้าตีเมืองหลวงด้วยกำลังภาคพื้นดินแต่ยังไม่สามารถทำได้
เป็นเพราะนอกเหนือจากปัญหาการส่งกำลังบำรุงของรัสเซีย สภาพของพื้นดินที่นิ่มอ่อนเนื่องจากเข้าสู่ช่วงใบไม้ผลิทำให้การเคลื่อนรถถังหรือรถหุ้มเพราะเป็นไปด้วยความลำบากแล้ว อีกปัจจัยมาจากชัยภูมิของกรุงเคียฟด้วย
เคียฟ มีแม่น้ำหลักของทวีปยุโรปอย่างแม่น้ำดนีเปอร์เป็นปราการ ในทางการทหาร การข้ามแม่น้ำเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งหากดูจากข้อเท็จจริงที่ว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังทั้งทหารและพลเรือนยูเครนมีการสร้างด่านและปราการมากมายเพื่อป้องกันตัวเอง
อย่างไรก็ตามมีการประเมินว่าที่กองทัพรัสเซียยังคงไม่ข้ามแม่น้ำ เนื่องจากรอการสมทบจากกองกำลังที่จะมาจากทางตะวันออก ถึงกระนั้นหากข้ามแม่น้ำได้ การรบในเคียฟไม่ง่าย นี่จะเป็นการรบแบบ Urban Warfare หรือการรบในเมืองที่ยากลำบากเพราะกรุงเคียฟมีถนนสายแคบ ๆ มากมายรวมถึงตึกขนาดใหญาเกือบทุกแห่งยังมีห้องใต้ดินที่กว้างขวางที่ทหารรัสเซียอาจติดกับได้
หลายคนพูดว่าอุปสรรคที่กองทัพรัสเซียเจอ ทำให้มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการทหาร มาเป็นการโจมตีทางอากาศแบบไม่เลือกเป้าแทน เพื่อก่อความเสียหายกับพลเรือน บีบบังคับให้รัฐบาลเคียฟยอมจำนน หนึ่งในคนที่ออกมาพูดแบบนี้คือ ประเทศโปแลนด์
โปแลนด์ ชี้รัสเซียล้มเหลวจึงเปลี่ยนเป้าโจมตีพลเรือน
เมื่อคืนที่ผ่านมาในที่ประชุมสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโปแลนด์ได้ประเมินสถานการณ์ให้ที่ประชุมฟังว่า ขณะนี้กองทัพรัสเซียไม่สามารถดำเนินการรุกได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือเรียกว่าเป็นความล้มเหลวทางด้านยุทธศาสตร์หรือ Tactical Failure ทำให้ตอนนี้เริ่มมีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์การทำสงคราม ด้วยการมุ่งเป้าโจมตีพลเรือน
เป้าหมายพลเรือนที่ตอนนี้วิกฤตมากสุดคือ ที่เมืองมาริอูปอล เมืองท่าทางตอนใต้ที่ติดกับทะเลอาซอฟ เมืองนี้ถูกกองทัพ รัสเซียล้อมกว่า 2 สัปดาห์แล้ว ประชาชนกว่า 400,000 คน กำลังเผชิญกับความหนาวเหน็บเนื่องจากไม่มีไฟฟ้าทำความร้อน มีรายงานการขาดน้ำดื่มและอาหาร ก่อนหน้านี้รัสเซียและยูเครนมีการทำข้อตกลงหยุดยิงที่เมืองนี้ เพื่อเปิดทางให้คนอพยพออกจากพื้นที่สงครามได้ แต่ก็ล้มเหลว
ชาวเมืองมาริอูปอลบางส่วนสามารถออกจากเมืองได้แล้ว
ภาพถ่ายดาวเทียมของบริษัทแม็กซาร์ล่าสุดเผยให้เห็นถึงความเสียหายอย่างหนักในเมืองมาริอูปอล อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย และมีไฟไหม้ มีควันลอยคลุ้งขึ้นมา มีรายงานพลเรือนเสียชีวิตแล้วกว่า 2,100 คน ก่อนหน้านี้ผู้นำยูเครนอ้างว่า มีเด็กเสียชีวิตจากการขาดน้ำด้วย
หลังจากความพยายามในการอพยพคนออกมาล้มเหลวหลายครั้ง ล่าสุดเริ่มมีสัญญานที่ดีขึ้น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนที่มาริอูปอลเปิดเผยว่า ขบวนรถอพยพจำนวน 160 คันสามารถเดินทางออกจากเมืองแล้ว และขณะนี้ผู้อพยพราว 300 คนเดินทางถึงเมืองซาโปริซเซียเรียบร้อยแล้วองค์การที่ทำหน้าที่ในการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่สงครามคือ องค์การกาชาดสากลหรือ ICRC